
ที่ผ่านมาในปี 2559 เชื่อว่าหลายท่านคงเห็นตรงกันเกี่ยวกับสถานการณ์สภาวะเศรษฐกิจของไทยและของโลกเป็นปีที่สภาวะเศรษฐกิจอยู่ในภาวะชะลอตัวค่อนไปทางถดถอย ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกมีการปรับฐานแรงถึง 2 ครั้งด้วยกัน คือในช่วงที่จีนปรับลดค่าเงินหยวนครั้งใหญ่ที่ส่งผละกระทบไปทั่วโลกและอีกครั้งในเดือนมิถุนายน หลังจากอังกฤษได้ทำประชามติขอแยกตัวจากสหภาพยุโรป (Brexit) ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมายเป็นอย่างมากจึงทำให้เกิดความผันผวนเป็นอย่างมากต่อตลาดการเงินทั่วโลก
หากจะคาดการณ์สภาวะโดยรวมของเศรษฐกิจในปี 2560 คาดว่าเศรษฐกิจโลกน่าจะแนวโน้มการขยายตัวได้ดีกว่าปีก่อน แต่ก็ยังคงยังมีทิศทางที่ไม่แน่นอน
อย่างไรก็ตามเราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าความผันผวนของเศรษฐกิจโลกยังคงต้องมีอยู่ในปี 2560 โดยมีปัจจัยมาจากความไม่แน่นอนทางการเมืองในยุโรป ที่เกือบครึ่งหนึ่งของประเทศในทวีปยุโรปจะมีการเลือกตั้งใหม่ประเทศทั้งหมดจะมีการเลือกตั้งใหม่ ฝรั่งเศสจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ครบวาระลงในปีนี้ รวมไปถึงการเลือกตั้งทั่วไปของเยอรมนีที่จะเกิดขึ้นในปีนี้เช่นกัน
มาดูทางด้านฝั่งสหรัฐฯประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก หากเกิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดขึ้นในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกตามไปด้วย สิ่งที่ยังคงต้องติดตาม คือ เรื่องนโยบายทางด้านเศรษฐกิจของทรัมป์ว่าที่ดำเนินนโยบายไปอย่างไร
อีกเรื่องสำคัญที่เป็นที่จับตามองก็คือ ทิศทางการในการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางของประเทศแกนหลัก อาทิ สหรัฐฯ ซึ่งมีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยคาดว่าจะปรับไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ในส่วนของประเทศไทยสภาวะเศรษฐกิจในปี 2560 น่าจะยังคงมีอัตราการเติบเติบโตใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ตั้งแต่ปี 2560-2562 คาดว่าน่าจะขยายตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปอยู่ใน ในช่วงระหว่าง 2.5-4.0% ทั้งนี้โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของการใช้จ่ายในประเทศและภาคการท่องเที่ยวที่ยังคงเป็นพระเอกมีการเติบโตต่ออย่างเนื่อง ประกอบกับแรงผลักดันจากภาครัฐที่ใช้นโยบายงบประมาณขาดดุลร้อยละ 2.6 ของ GDP เป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจ การผลักดันโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ขณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปจนถึงสิ้นปีหน้า ทั้งหมดนี้น่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยค่อยๆฟื้นตัวขึ้นมาได้
ในส่วนของการปี 2560 ความผันผวนจากประเด็นต่างๆ ที่ได้กล่าวมาข้างต้นจะทำให้การโอกาสจากการลงทุนในสินทรัพย์ที่จะให้ผลตอบแทนดีๆนั้นทำได้ยากขึ้น ดังนั้นการกระจายการลงทุน(Diversify) และคัดเลือกการลงทุนเหมาะสมกับ (Selective) เป็นกุญแจสำคัญของการบริหารพอร์ตทางด้านการลงทุน